BIM100 กับผู้มีปัญหาเนื้องอกที่มดลูก คุณกิ่งแก้ว หิรัญตระการ
มาเล่าประสบการณ์ของตนเอง และให้กำลังใจกับผู้ที่กำลังใช้ ผลงานวิจัย BIM100
ตั้งแต่ปี 45 เริ่มปวดประจําเดือนมาตลอดทุกเดือน แรกๆ พอทน ปวดได้ แต่ระยะหลังปวดมากขึ้นเรื่อยๆ จนต้องทานยาแก้ปวด พอมาเดือน ธ.ค.ปี 49 ประจําเดือนมาเยอะมากไม่ยอมหยุด เสียเลือดมากตัวซีดต้องเข้า พักรักษาตัวในโรงพยาบาล 4-5 วัน ในเดือนม.ค. 50 ผลตรวจอุลตราซาวนด์ พบเนื้องอกที่มดลูก 1 ก้อนขนาด 6-7 ซ.ม. แต่ไม่ใช่เนื้อร้าย หลังจากนั้น ทุกๆ ปีต้องไปตรวจเพื่อดูว่าเป็นเนื้อร้ายหรือไม่ จนกระทั่งพ.ค.ปี 55 ลูกสาว แนะนําให้ *BIM 3 เดือน วันที่ 10 ส.ค.55 ไปตรวจอุลตราซาวนด์ ผล ตรวจกลับไม่พบเนื้องอกแล้ว อีกทั้งล่าสุดวันที่ 11 เม.ย. 56 ผลตรวจ ยังคงไม่พบเนื้องอกเหมือนเดิม ทุกวันนี้ *BIM เข้าเดือนที่ 11 แล้วค่ะ"
สนใจสอบถามเพิ่มเติมได้ที่
LINE ID: @bim100product
โทร. 086 777 9101

เนื้องอกที่มดลูก: สาเหตุ อาการ และแนวทางการรักษา
เนื้องอกที่มดลูก หรือที่เรียกว่า “Myoma” หรือ “Fibroid” เป็นภาวะที่พบได้บ่อยในผู้หญิงวัยเจริญพันธุ์ แม้ส่วนใหญ่เนื้องอกในมดลูกจะเป็นเนื้องอกชนิดไม่ร้ายแรง แต่สามารถสร้างความไม่สบายและอาการต่างๆ ได้ในบางกรณี บทความนี้จะช่วยให้คุณเข้าใจถึงสาเหตุ อาการ และแนวทางในการรักษาเนื้องอกที่มดลูก

เนื้องอกที่มดลูกคืออะไร?
เนื้องอกที่มดลูกคือกลุ่มก้อนเนื้อที่เติบโตภายในกล้ามเนื้อของมดลูก โดยเกิดจากการเจริญเติบโตที่ผิดปกติของเซลล์กล้ามเนื้อของมดลูก เนื้องอกในมดลูกมักมีขนาดและจำนวนที่แตกต่างกันไป ตั้งแต่ก้อนเล็กที่แทบไม่ส่งผลต่อสุขภาพ ไปจนถึงก้อนใหญ่ที่ทำให้มดลูกขยายตัว และอาจเกิดขึ้นภายในกล้ามเนื้อมดลูกหรือบริเวณอื่นๆ รอบมดลูก
อาการของเนื้องอกที่มดลูก
ผู้ที่มีเนื้องอกที่มดลูกมักมีอาการดังนี้:
1. ประจำเดือนมามากและนานกว่าปกติ ส่งผลให้เสียเลือดมากและอาจทำให้เกิดภาวะซีดได้
2. ปวดท้องน้อย โดยเฉพาะขณะมีประจำเดือน
3. ปัสสาวะบ่อยหรือปวดเมื่อปัสสาวะ เนื่องจากเนื้องอกไปกดทับกระเพาะปัสสาวะ
4. ท้องผูก หากเนื้องอกกดทับลำไส้ใหญ่
5. ปวดหลังส่วนล่างหรือปวดเอว
6. รู้สึกท้องอืดหรือน้ำหนักตัวเพิ่มขึ้น
7. ปัญหาการตั้งครรภ์ ในบางกรณีเนื้องอกอาจทำให้มีบุตรยากหรือเพิ่มความเสี่ยงในการแท้งบุตร
สาเหตุของการเกิดเนื้องอกที่มดลูก
แม้ยังไม่ทราบสาเหตุที่แน่ชัดของการเกิดเนื้องอกที่มดลูก แต่มีปัจจัยที่อาจส่งผลให้เกิดภาวะนี้ เช่น:
1. พันธุกรรม หากมีคนในครอบครัวเป็นเนื้องอกที่มดลูก ผู้หญิงมีโอกาสมากขึ้นที่จะเป็น
2. ฮอร์โมน ฮอร์โมนเอสโตรเจนและโปรเจสเตอโรนเป็นฮอร์โมนที่ส่งผลให้เซลล์เนื้องอกเจริญเติบโต
3. อายุ ผู้หญิงอายุระหว่าง 30-40 ปีมีความเสี่ยงมากขึ้น
4. การใช้ยาคุมกำเนิด โดยเฉพาะผู้ที่ใช้ยาคุมกำเนิดแบบฮอร์โมน
การวินิจฉัยเนื้องอกที่มดลูก
การวินิจฉัยเนื้องอกในมดลูกทำได้โดย:
1. การตรวจภายใน แพทย์สามารถสัมผัสถึงความผิดปกติที่มดลูกได้
2. การทำอัลตราซาวด์ (Ultrasound) ช่วยในการเห็นภาพที่ชัดเจนของเนื้องอกในมดลูก
3. การส่องกล้อง (Hysteroscopy) เพื่อตรวจสอบภายในมดลูก
4. การตรวจ MRI เพื่อดูรายละเอียดที่ละเอียดขึ้นในกรณีที่เนื้องอกมีขนาดใหญ่
การรักษาเนื้องอกที่มดลูก
แนวทางการรักษาขึ้นอยู่กับขนาดของเนื้องอก อาการที่เกิดขึ้น และความต้องการของผู้ป่วย โดยมีวิธีการรักษาที่หลากหลาย ได้แก่:
1. การเฝ้าดูอาการ ในกรณีที่เนื้องอกมีขนาดเล็กและไม่ก่อให้เกิดอาการรุนแรง
2. การใช้ยา เช่น ยาฮอร์โมนหรือยาแก้ปวด เพื่อควบคุมอาการและลดขนาดของเนื้องอก
3. การผ่าตัดส่องกล้อง สำหรับการกำจัดเนื้องอกที่มีขนาดเล็ก หรืออยู่ในบริเวณที่เข้าถึงได้ง่าย
4. การผ่าตัดเปิดมดลูก (Myomectomy) สำหรับเนื้องอกขนาดใหญ่ในผู้ที่ต้องการคงมดลูกไว้
5. การทำการขูดมดลูก (Hysterectomy) กรณีที่เนื้องอกมีขนาดใหญ่และไม่ตอบสนองต่อการรักษาแบบอื่น
การดูแลตนเองและการป้องกัน
แม้จะไม่สามารถป้องกันเนื้องอกที่มดลูกได้ทั้งหมด แต่การดูแลสุขภาพและการตรวจเช็กร่างกายอย่างสม่ำเสมออาจช่วยลดความเสี่ยงได้บ้าง:
• การรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ เช่น ผักผลไม้ที่มีสารต้านอนุมูลอิสระ
• การออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ เพื่อเสริมสร้างภูมิคุ้มกัน
• การลดความเครียด เพราะความเครียดอาจส่งผลต่อฮอร์โมนในร่างกาย
• การตรวจสุขภาพประจำปี โดยเฉพาะการตรวจภายในสำหรับผู้หญิงวัยเจริญพันธุ์
เนื้องอกที่มดลูกเป็นภาวะที่พบได้บ่อยในผู้หญิง แต่ไม่ใช่เนื้องอกชนิดร้ายแรง อย่างไรก็ตาม อาการที่เกิดจากเนื้องอกสามารถส่งผลกระทบต่อชีวิตประจำวัน การรับรู้และดูแลสุขภาพตั้งแต่เนิ่นๆ รวมถึงการปรึกษาแพทย์เมื่อมีอาการผิดปกติจะช่วยให้การรักษาได้ผลดีขึ้น