BIM100 กับผู้มีปัญหามะเร็งหลังโพรงจมูก คุณธิรดา บัณฑิดานุกูล
มาเล่าประสบการณ์ของตนเอง และให้กำลังใจกับผู้ที่กำลังใช้ ผลงานวิจัย BIM100
ปลายพ.ย.54 คัดจมูกซ้ายหายใจไม่ ออก แรกๆ ตรวจว่าเป็นไซนัสอักเสบ ผนังโพรงไซนัสบวมหนา รักษาเป็นเวลา 2-3 เดือน ไม่ดีขึ้นเลย จนเดือนก.พ.55 ตรวจเป็นครั้งที่ 2 พบก้อนเนื้อขนาด 3 x5 ซ.ม. ที่หลังโพรงจมก ผลตรวจชิ้นเนื้อ และ MRI ระบุชัดว่าเป็นมะเร็งหลังโพรง จมูก ปลายมี.ค.55 เริ่มทําเคมีบําบัดร่วมกับฉายรังสีทุกวัน พร้อมๆ กับพี่ชาย แนะนําให้ *BIM ทันที หลังจากให้เคมีเข็มที่ 1 มีอาการข้างเคียงคือ อ่อนเพลีย อาเจียน ท้องเสีย ปวดเมื่อย เดินแล้วปวดขาอยู่ 5 วัน แต่ ต่อมาหลังจากให้เคมีเข็มที่ 2-6 อาการดังกล่าวกลับลดน้อยลง ไม่มี ท้องเสีย ไม่อาเจียน ปวดเมื่อยลดลง แต่น้ำหนักตัวขึ้น หลังจากฉายรังสี 15 ครั้ง โพรงจมูก และคอไหม้ ทานข้าวไม่ได้ ทานได้แต่น้ำผลไม้ หรือ อาหารเหลว น้ําหนักตัวลดลง แต่ร่างกายไม่เหนื่อย ไม่เพลียมาก อาบน้ำ แต่งตัว เดิน และช่วยเหลือตัวเองได้ แม้ภายหลังต้องให้เคมีชุดที่ 2 เพิ่ม เติมอีก กลับไม่มีอาการข้างเคียง เดือนส.ค.55 กลับมาทานอาหารได้ปกติ น้ำหนักเริ่มขึ้น ใส่วิกผมแล้วยิ้มๆ เดินไปไหนมาไหนก็ไม่มีใครรู้ว่าเป็นมะเร็ง เดือนธ.ค.55 ผลตรวจ MRI ยืนยันว่าไม่พบมะเร็งแล้ว ล่าสุดผลตรวจ 20 มี.ค. 56 ยังคงปกติดีค่ะ
สนใจสอบถามเพิ่มเติมได้ที่
LINE ID: @bim100product
โทร. 086 777 9101

มะเร็งหลังโพรงจมูก: สาเหตุ อาการ และแนวทางการรักษา
มะเร็งหลังโพรงจมูก หรือที่เรียกว่า Nasopharyngeal Carcinoma (NPC) เป็นมะเร็งชนิดหนึ่งที่เกิดในบริเวณส่วนหลังของโพรงจมูก ตำแหน่งที่มักพบมะเร็งชนิดนี้คือบริเวณที่เชื่อมต่อระหว่างโพรงจมูกและลำคอ ซึ่งเป็นบริเวณที่อยู่ใกล้หูและฐานสมอง มะเร็งชนิดนี้มักพบในผู้ชายมากกว่าผู้หญิง โดยเฉพาะในกลุ่มผู้ที่มีอายุระหว่าง 30-50 ปี

สาเหตุของมะเร็งหลังโพรงจมูก
สาเหตุของมะเร็งหลังโพรงจมูกยังไม่เป็นที่ทราบแน่ชัด อย่างไรก็ตาม มีปัจจัยเสี่ยงหลายประการที่เชื่อมโยงกับการเกิดมะเร็งชนิดนี้ ได้แก่:
1. การติดเชื้อไวรัส Epstein-Barr (EBV) ซึ่งมีการพบไวรัสนี้ในผู้ป่วยส่วนใหญ่
2. พันธุกรรม หากมีสมาชิกในครอบครัวที่เป็นมะเร็งหลังโพรงจมูก อาจเพิ่มความเสี่ยงได้
3. ปัจจัยด้านสิ่งแวดล้อม เช่น การสูดดมสารเคมีหรือมลพิษในอากาศ
4. การบริโภคอาหารที่มีการหมักดองและเค็มจัด โดยเฉพาะอาหารที่มีไนโตรซามีนสูง เช่น ปลาเค็ม อาหารแปรรูป ซึ่งอาจมีสารก่อมะเร็ง
5. การสูบบุหรี่และดื่มแอลกอฮอล์ ซึ่งอาจเพิ่มความเสี่ยงให้กับโรคนี้ได้
อาการของมะเร็งหลังโพรงจมูก
มะเร็งหลังโพรงจมูกอาจเริ่มต้นโดยไม่มีอาการที่ชัดเจน แต่เมื่อโรคมีความรุนแรงขึ้น ผู้ป่วยอาจพบอาการดังนี้:
1. ปวดศีรษะหรือปวดบริเวณหน้าผากและฐานกะโหลก
2. มีก้อนที่คอ มักเป็นก้อนที่เกิดจากต่อมน้ำเหลืองโต
3. มีเลือดออกจากจมูก หรือมีน้ำมูกปนเลือด
4. เสียงแหบและหายใจลำบาก
5. หูอื้อ หรือสูญเสียการได้ยิน โดยเฉพาะหูข้างเดียว
6. คอหอยแห้งหรือเจ็บคอ อาการเจ็บอาจเป็นซ้ำๆ โดยไม่หายขาด
7. อาการเหนื่อยล้าและน้ำหนักลด
การวินิจฉัยมะเร็งหลังโพรงจมูก
การวินิจฉัยมะเร็งหลังโพรงจมูกมักใช้วิธีดังนี้:
1. การตรวจร่างกาย แพทย์จะตรวจดูว่ามีก้อนหรืออาการผิดปกติในบริเวณคอและหลังโพรงจมูกหรือไม่
2. การส่องกล้องโพรงจมูกและคอ (Nasopharyngoscopy) เพื่อตรวจหาก้อนหรือความผิดปกติ
3. การทำ MRI หรือ CT scan เพื่อดูรายละเอียดของก้อนมะเร็งและการกระจายของเซลล์มะเร็ง
4. การตัดชิ้นเนื้อ (Biopsy) เพื่อยืนยันการวินิจฉัยและดูชนิดของเซลล์มะเร็ง
การรักษามะเร็งหลังโพรงจมูก
แนวทางการรักษามะเร็งหลังโพรงจมูกขึ้นอยู่กับระยะของโรคและสุขภาพของผู้ป่วย โดยมีวิธีการรักษาหลักๆ ได้แก่:
1. การฉายรังสี (Radiation Therapy) เป็นวิธีหลักที่ใช้ในการรักษามะเร็งหลังโพรงจมูก เนื่องจากตำแหน่งของมะเร็งที่ยากต่อการผ่าตัด
2. การทำเคมีบำบัด (Chemotherapy) ใช้ร่วมกับการฉายรังสีในบางกรณี โดยเฉพาะในระยะที่มะเร็งลุกลามไปยังส่วนอื่น
3. การผ่าตัด (Surgery) อาจใช้ในบางกรณีหากมะเร็งไม่สามารถตอบสนองต่อการฉายรังสีและเคมีบำบัด
4. การดูแลบรรเทาอาการ (Palliative Care) สำหรับผู้ป่วยในระยะท้าย เพื่อบรรเทาอาการและให้ความสบายในชีวิตประจำวัน
การป้องกันมะเร็งหลังโพรงจมูก
แม้ว่าจะไม่สามารถป้องกันมะเร็งหลังโพรงจมูกได้ทั้งหมด แต่สามารถลดความเสี่ยงด้วยวิธีดังนี้:
1. หลีกเลี่ยงอาหารหมักดองและอาหารแปรรูป ที่มีปริมาณเกลือและไนโตรซามีนสูง
2. ไม่สูบบุหรี่และลดการดื่มแอลกอฮอล์ ซึ่งเป็นปัจจัยเสี่ยงที่ทำให้เกิดมะเร็ง
3. สวมใส่อุปกรณ์ป้องกัน หากต้องทำงานในสภาพแวดล้อมที่มีสารเคมีหรือฝุ่นมาก
4. การตรวจสุขภาพประจำปี โดยเฉพาะผู้ที่มีประวัติครอบครัวเกี่ยวกับมะเร็งหลังโพรงจมูก ควรพบแพทย์เป็นประจำเพื่อตรวจคัดกรอง
มะเร็งหลังโพรงจมูกเป็นมะเร็งที่พบได้ในผู้ที่มีปัจจัยเสี่ยงบางประการ การรับรู้ถึงอาการและปัจจัยเสี่ยง การตรวจสุขภาพอย่างสม่ำเสมอและหลีกเลี่ยงปัจจัยเสี่ยงสามารถช่วยลดโอกาสในการเกิดโรคได้ หากมีอาการผิดปกติ ควรรีบพบแพทย์เพื่อตรวจและรับการรักษาที่เหมาะสม