BIM100 กับอาการที่พบมากสุดของ COVID-19
ผลงานวิจัย BIM100 อธิบาย สถานการณ์ COVID-19 แพร่ระบาดอย่างต่อเนื่องทั่วโลก นอกจากการดูแลป้องกันตนเอง ทั้ง การใส่หน้ากากอนามัย ล้างมือเป็นประจำ ไม่ไปในพื้นที่สุ่มเสี่ยงแล้ว สิ่งสำคัญที่เราต้องทราบอีกอย่างคือ ลักษณะอาการของผู้ติดเชื้อ
ก่อนหน้าที่เราคงพอทราบกันแล้วว่า อาการเบื้องต้นของผู้ติดเชื้อไวรัส COVID-19 จะคล้ายๆกับไข้หวัดทั่วไป มี ไอ จาม ปวดเมื่อยตามตัวบ้าง แต่ความแตกต่างคือ COVID-19 จะไปทำลายปอดก่อนจึงทำให้ระบบทางเดินหายใจทำงานผิดปกติ เหนื่อยหอบง่าย เกิดภาวะแทรกซ้อน จนนำไปสู่การเสียชีวิตในที่สุด
วันที่ 6 มีค. 20 มีข้อสรุปมาจากการปฏิบัติงานที่ประเทศจีน ช่วงวันที่ 16-24 กุมภาพันธ์ ที่ผ่านมา ของผู้เชี่ยวชาญจากองค์การอนามัยโลก (WHO) ได้มีการจัดอันดับอาการที่พบบ่อยที่สุดในผู้ติดเชื้อ COVID-19 สรุปได้ดังนี้
อาการที่พบมากสุดของผู้ติดเชื้อ มี 9 ข้อ ได้แก่ มีไข้ 87.9% ไอแห้ง 67.7% เหนื่อยล้า อ่อนเพลีย 38.1% ไอมีเสมหะ 33.4% หายใจไม่สะดวก 18.6% เจ็บคอ 13.9% ปวดหัว 13.6% ปวดและตัวเย็น 11.4%

อาการที่พบรองลงมาได้แก่ คลื่นไส้อาเจียน5% คัดจมูก4.8% ท้องเสีย3.7% ไอเป็นเลือด0.9% และตาแดง 0.8%
ขณะที่น้ำมูกไหล ไม่ใช่อาการของผู้ติดเชื้อ COVID-19
อย่างไรก็ตาม ในระยะฟักตัว 1-14 วัน ตามสถิติร่างกายจะมีอาการไข้ขึ้นและหายใจติดขัด ช่วง 5-6 วัน หลังการติดเชื้อ
หากใครพบว่าตัวเองอยู่ในกลุ่มเสี่ยงหรือมีอาการดังกล่าวที่ว่ามานี้ ลองไปตรวจเช็คกับแพทย์กันนะคะ
ผมอยากจะเรียนว่าแม้ผลงานวิจัย สามารถกระตุ้นภูมิคุ้มกันได้อย่างมีประสิทธิภาพ แต่การที่เราป้องกันตัวเองด้วยการสวมหน้ากาก และหลีกเลี่ยงไม่ไปอยู่ในที่สุ่มเสี่ยงต่อการติดเชื้อก็เป็นสิ่งที่ควรทำ
ท้ายที่สุดนี้ขอให้ทุกคนปลอดภัยไม่ติดเชื้อ Coronavirus กันทุกคนนะครับด้วยความห่วงใย
ศ.ดร.พิเชษฐ์ วิริยะจิตรา
..............................................................................................
ชื่อ ไวรัสโคโรนา มาจากลักษณะของเชื้อไวรัสที่มีปลายแหลมยื่นออกมาจากเยื่อหุ้มเซลล์ คล้ายกับรัศมีของดวงอาทิตย์ (the sun's corona)
ไวรัสชนิดนี้ทำให้เป็นหวัด ปอดอักเสบ และรุนแรงถึงขั้นเสียชีวิต
ไวรัสโคโรน่า เป็นไวรัสตระกูลเดียวกับ โรคซาร์ส ที่ระบาดเมื่อปี 2545
อย่างไรก็ตาม หากมีอาการใดๆ ไม่ควรนิ่งเฉย แต่ต้องรีบไปพบแพทย์
เพื่อรับการตรวจวินิจฉัย และหาสาเหตุโดยเร็ว
“การปรับระดับภูมิคุ้มกันให้กลับมามีสมดุลบนพื้นฐานแนวคิดการใช้อาหารเป็นยาถือเป็นการดูแลสุขภาพให้แข็งแรงจากภายในอย่างแท้จริง”