ศ.ดร.พิเชษฐ์ วิริยะจิตรา หัวหน้าคณะวิจัย BIM100 ให้สัมภาษณ์เรื่อง“ภูมิคุ้มกันบำบัด ป้องกันและกำจัดการติดเชื้อไวรัส COVID-19”ในรายการ Hotline สายสุขภาพ
ในขณะที่ปัจจุบันทั่วทั้งโลกกำลังเผชิญวิกฤตไวรัสนี้อยู่ ทุกภาคส่วนเน้นย้ำให้ป้องกันและระมัดระวังตัวเอง แอดจึงอยากแชร์ข้อมูลนี้ให้ทุกคนได้ทราบถึงการป้องกันและดูแลตัวเองจากไวรัส COVID-19 ซึ่งเป็นคำแนะนำจากนักวิจัยไทยที่เป็นผู้เชี่ยวชาญด้านภูมิคุ้มกันบำบัด มาฟังคำแนะนำจากศ.ดร.พิเชษฐ์ วิริยะจิตรา หัวหน้าคณะวิจัย Operation BIM กันเลยค่ะ
วิธีที่ ศ.ดร.พิเชษฐ์ วิริยะจิตรา หัวหน้าคณะวิจัย แนะนำคือการป้องกันและกำจัดไวรัส ด้วยภูมิคุ้มกันบำบัด
1. ป้องกันโดย ไม่ให้ ไวรัสผ่านเยื่อบุผิวทางเดินหายใจ เข้าไปทำให้เซลล์ในร่างกายติดเชื้อ
จะป้องกันได้ 100% คือต้อง ป้องกันไม่ให้ไวรัสผ่านเยื่อบุทางเดินหายใจเข้าไปได้
ถ้าไวรัสพลัดเข้าไปในร่างกายบ้าง ต้องใช้การกำจัด
2. กำจัด ไวรัสที่ทำให้เซลล์ติดเชื้อแล้วโดย เซลล์ T พิฆาต ที่เราสามารถกระตุ้นขึ้นมาได้
นี่คือหลักการของภูมิคุ้มกันบำบัด
ภูมิคุ้มกันบำบัด ทำได้ยังไง?
ทำได้โดยการใช้ภูมิคุ้มกันของร่างกาย บำบัดโรค ภูมิคุ้มกันที่ว่าคือเม็ดเลือดขาว ซึ่งเม็ดเลือดขาวที่สำคัญทำหน้าที่ป้องกัน และปรับภูมิคุ้มกันเราให้เพิ่มขึ้น มีอยู่ 2 ส่วน คือ T-helper 1 และ T-helper 17
แล้วทำอย่างไรเม็ดเลือดขาว 2 กลุ่มนี้ จะทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพสูง?
คณะนักวิจัย BIM100 คิดค้นสูตรสารสกัดธรรมชาติขึ้นมาที่สามารถกระตุ้นได้ทั้ง Th1 และ Th17 โดยใช้สารสกัดจากมังคุด เสริมประสิทธิภาพกับสารสกัดธรรมชาติอื่นๆ และมีการทดสอบกับศูนย์วิจัยเทคโนโลยีชีวการแพทย์มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ งานวิจัย ได้เริ่มทำมาตั้งแต่ปี 1978 ต่อเนื่อง จนถึงปัจจุบัน โดยการสนับสนุนของ สวทช.
การวิจัยแบ่งอาสาสมัครออกเป็น 2 กลุ่ม คือ กลุ่มที่ใช้แคปซูลแป้ง และกลุ่มที่ใช้แคปซูล สารสกัดธรรมชาติ พบว่ากลุ่มที่ใช้แคปสูตรสารสกัดธรรมชาติ มีสารต้านไวรัสในเม็ดเลือดขาว Th1 ทั้ง 2 กลุ่ม เพิ่มขึ้น 2, 3 เท่า ตามลำดับ
และ การเพิ่มขึ้นของ Th17 วัดได้จากสาร IL-17, IL-22 ในผู้ที่ใช้แคปซูลสารสกัดธรรมชาติ เพิ่มขึ้น 5,10 เท่า ตามลำดับ
ซึ่งสาร 2 ชนิดนี้สามารถป้องกันไม่ให้ ไวรัส ทะลุผ่านผนังเยื่อบุพื้นผิวของระบบทางเดินหายใจ จึงป้องกันการติดเชื้อ ได้โดยตรง พูดง่ายๆว่า ถ้าสาร 2 ตัวนี้เพิ่มขึ้นและทำงานได้ดี ถึงแม้ไวรัสจะเข้ามาได้บ้าง แต่ก็ไม่สามารถทะลุผ่านเยื่อบุทางเดินหายใจเราเข้าไปได้
เพื่อยืนยันความสามารถของนวัตกรรมในการป้องกันการติดเชื้อไวรัส พิสูจน์ได้จากการติดเชื้อไวรัสหวัด ที่ลดลงอย่างชัดเจนในกลุ่มผู้บริโภคจำนวนมาก
ในกลุ่มเด็กติดเชื้อ HIV 52 คน ในบ้านแกด้าที่ใช้ 4-6 แคปซูลต่อวัน
จำนวนผู้เป็นหวัดมากกว่า
3 ครั้งในหนึ่งปีลดลงจาก 79% เหลือ 0%
จำนวนผู้ไม่เป็นหวัดเลยทั้งปีเพิ่มขึ้นจาก 0% เป็น 83%
ในกลุ่มผู้บริโภคทั่วไป 303 คนที่ใช้ 2-9 แคปซูลต่อวัน
จำนวนผู้เป็นหวัดมากกว่า 3 ครั้งในหนึ่งปี ลดลงจาก 46% เหลือ 4.3%
จำนวนผู้ไม่เป็นหวัดเลยทั้งปีเพิ่มขึ้นจาก 5.9% เป็น 58%
จากข้อมูลข้างต้น จะเป็นภาพของการป้องกันไวรัส
แต่ถ้าในกรณที่ ไวรัส ทะลุผ่านเยื่อบุผิวเข้าไปได้แล้ว ทำให้เซลล์ติดเชื้อแล้ว สามารถกำจัดได้โดยเซลล์ T พิฆาต ซึ่งเป็นเม็ดเลือดขาวที่มีอยู่ในร่างกาย เป็นเซลล์ภูมิคุ้มกันที่ทำหน้าที่กำจัดเชื้อไวรัส ซึ่งเราจะกระตุ้น เซลล์ T พิฆาต ได้ด้วยการเพิ่ม Th1 และ Th17 เพราะทั้ง Th1 และ Th17 จะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพหรือติดอาวุธให้ เซลล์ T พิฆาต ทำงานได้อย่างดีนั่นเอง
คณะนักวิจัย อธิบายการทำงานของเซลล์ T พิฆาต คือ จะคอยหาว่าเซลล์ไหนเป็นเซลล์ที่ติดไวรัสแล้ว จะเข้าไปเกาะติด เจาะ พ่นสาร granzymes เข้าไปในเซลล์ติดเชื้อ – เซลล์ติดเชื้อและไวรัสจะถูกย่อยสลายไปพร้อมๆกัน ที่สำคัญเซลล์ T พิฆาต จะไม่ทำลายเซลล์ที่ไม่ติดเชื้อ จึงเป็นวิธีที่ปลอดภัย
วิธีการกำจัดไวรัสโดยเซลล์ T พิฆาตแบบนี้เป็นวิธีการเดียวกับการกำจัดเชื้อไวรัส ในโรค Zars, Mers ที่เป็นโคโรนาไวรัสเช่นกัน ต่างกันเพียงคนละสายพันธุ์
แล้วนวัตกรรมนี้กำจัดเชื้อ ได้มากน้อยแค่ไหน มีอะไรที่ยืนยันได้อีกนอกจากผลสำรวจผู้ติดเชื้อหวัด?
คำอธิบายเพิ่มเติมคือ จากการทำงานของคณะวิจัย ทำให้ได้ประสบการณ์เรียนรู้จาก ผู้ใช้นวัตกรรมเพื่อกำจัดเชื้อ HIV ซึ่งเป็นไวรัสเหมือนกัน
พบว่า
1. HIV ลดลงอย่างรวดเร็วใน 1 เดือน
จากคนที่มีไวรัสเยอะมากๆ จำนวน 1,090,000 ลดลงเหลือ 850 copies/ml (-99.9%)
และ คนที่มีไวรัส จำนวน 1,787,091 ลดลงเหลือ 46 copies/ml (-99.9%)
2. กำจัดไวรัสจนตรวจไม่พบ (น้อยกว่า 20 copies/ml)
โดยไม่ใช้ยาต้านไวรัส (HIV Functional Cure)
3. กำจัดไวรัสจนผู้ป่วย AIDS ระยะสุดท้าย รอดชีวิต
จากข้อมูลข้างต้นจะเห็นได้ว่า นวัตกรรม สร้าง “ภูมิคุ้มกันบำบัด” ป้องกันและกำจัดเชื้อไวรัสรวมทั้ง COVID-19 ได้
ในขณะที่ตอนนี้หลายประเทศพยายามผลิต วัคซีน เพื่อสร้างภูมิคุ้มกัน แต่ไวรัสเป็นสิ่งที่กลายพันธุ์ตลอดเวลา วัคซีนที่อาจใช้ได้ในตอนนี้ อาจใช้ไม่ได้กับไวรัสที่จะกลายพันธุ์ใหม่ไปเร็วมาก ทำให้การป้องกันด้วยวัคซีน ต้องมีการทำวัคซีนใหม่อยู่ตลอด
แต่การสร้างภูมิคุ้มกันของร่างกาย ตามหลักการของภูมิคุ้มกันสมดุล ศ.ดร.พิเชษฐ์ วิริยะจิตรา หัวหน้าคณะวิจัย เพื่อป้องกันและกำจัดไวรัส จะสามารถจัดการกับไวรัสได้ทุกชนิดทุกสายพันธุ์ วิธีป้องกันและกำจัดไวรัสทุกสายพันธุ์ได้อย่างดี คือการสร้างภูมิคุ้มกันของร่างกายให้แข็งแรงนั่นเอง
ผมอยากจะเรียนว่าแม้ผลงานวิจัย BIM100 สามารถกระตุ้นภูมิคุ้มกันได้อย่างมีประสิทธิภาพ แต่การที่เราป้องกันตัวเองด้วยการสวมหน้ากาก และหลีกเลี่ยงไม่ไปอยู่ในที่สุ่มเสี่ยงต่อการติดเชื้อก็เป็นสิ่งที่ควรทำ
ท้ายที่สุดนี้ขอให้ทุกคนปลอดภัยไม่ติดเชื้อ Coronavirus กันทุกคนนะครับด้วยความห่วงใย
ศ.ดร.พิเชษฐ์ วิริยะจิตรา
..............................................................................................
ชื่อ ไวรัสโคโรนา มาจากลักษณะของเชื้อไวรัสที่มีปลายแหลมยื่นออกมาจากเยื่อหุ้มเซลล์ คล้ายกับรัศมีของดวงอาทิตย์ (the sun's corona)
ไวรัสชนิดนี้ทำให้เป็นหวัด ปอดอักเสบ และรุนแรงถึงขั้นเสียชีวิต
ไวรัสโคโรน่า เป็นไวรัสตระกูลเดียวกับ โรคซาร์ส ที่ระบาดเมื่อปี 2545
อย่างไรก็ตาม หากมีอาการใดๆ ไม่ควรนิ่งเฉย แต่ต้องรีบไปพบแพทย์
เพื่อรับการตรวจวินิจฉัย และหาสาเหตุโดยเร็ว
“การปรับระดับภูมิคุ้มกันให้กลับมามีสมดุลบนพื้นฐานแนวคิดการใช้อาหารเป็นยาถือเป็นการดูแลสุขภาพให้แข็งแรงจากภายในอย่างแท้จริง”